เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ ต.ค. ๒๕๕๙

เทศน์เช้า วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๙

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ฟังธรรมนี้แสนยาก แสนยากเพราะอะไร แสนยากเพราะสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศนาว่าการนี้ มันต้องเทศนามาจากปากไง เพราะมันไม่มีเครื่องมือสื่อสาร ฉะนั้น ฟังธรรมนี้แสนยากๆ แต่ในปัจจุบันนี้มันมีการสื่อสาร เราก็ฟังธรรมๆ ไง

ฉะนั้นเวลาบอกว่า “การให้ธรรมชนะซึ่งการให้ทั้งปวง” นี่การให้ธรรมๆ ไง นี่ก็เหมือนกัน เราจะให้ทานๆ เราพิมพ์ประวัติครูบาอาจารย์ของเรา นี่ให้ธรรมเป็นทานๆ

ให้ธรรมเป็นทาน เวลาทางโลกเขา ทางโลกเขาต้องการความสะดวกสบาย เขาถามว่า หนังสือปฏิปทาของสายอาจารย์มั่นเล่มละเท่าไร ราคาเท่าไร

ราคาของมันน่ะมันเหนือโลก ราคาของมันในทางหัวใจของคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ มันเหนือโลก มันเป็นวิชาการที่ทางโลกเขาไม่มี ไม่มีหรอก แต่ถ้าเป็นราคาๆ ราคาทางโลก ราคาทางโลก เขาตีราคากัน ถ้าตีราคากันอย่างนั้นมันเป็นเรื่องโลกๆ ไง

แต่ถ้าเป็นสัจธรรมๆ ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำของท่าน ถ้าพระให้กันไม่ได้ ถ้าเป็นธรรมๆ เราเจือจานกันไม่ได้ เราไม่มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อต่อกันน่ะ แล้วจะให้ใครเขาทำ ถ้าเป็นพระทำไม่ได้ ให้ใครเขาทำ

ฉะนั้น มันถึงเหนือโลกไง ถ้าพูดถึงราคา ราคาโดยสัจธรรมมันตีค่าไม่ได้ แต่ถ้าราคาทางโลกนั้นเป็นเรื่องของเขา นั่นพูดถึงว่าถ้าจิตใจที่เป็นโลกนะ ถ้าจิตใจที่เป็นธรรมๆ ถ้าจิตใจที่เป็นธรรมๆ ดอกบัวเกิดจากโคลนตม ถ้าดอกบัวเกิดจากโคลนตม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม

คนเราเกิดมา คนเราเกิดมาก็เกิดมาจากพ่อจากแม่ทั้งนั้นน่ะ คนเราเกิดมา เกิดมามันก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากมาทุกคนทั้งนั้นน่ะ เห็นไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตมๆ แต่เวลามันจะพ้นจากน้ำขึ้นไป มันเป็นเหยื่อ มันเป็นเหยื่อของสัตว์น้ำ มันเน่าเสียอยู่ในโคลนตมนั้น มันไปไม่ได้ไง

นี่ก็เหมือนกัน ประวัติของครูบาอาจารย์เรา ประวัติของครูบาอาจารย์เรา แต่มันจะพ้นจากเหยื่อจากน้ำ มันจะพ้นมา วิธีการที่ท่านแสวงหา วิธีการที่ท่านขวนขวาย วิธีการที่ท่านพยายามเอาตัวรอดของท่าน อันนี้มันสำคัญ มันสำคัญ เราได้ประโยชน์จากตรงนี้ไง เห็นไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม

แต่พอเราเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะเกิดขึ้นมาอย่างไร เกิดขึ้นมาแล้ว เวลาเกิด เกิด ภาษาเรา หนังสือเล่มละเท่าไรๆ มันก็เขียนทางวิชาการ เขียนกันให้หลบหลีกกันไง ไอ้นี่เป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าดอกบัวเกิดจากโคลนตมๆ ดอกบัวมันไม่เน่าไม่เสียจากตัวมันเองไง

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของคน หัวใจของคนมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีสิ่งเร้า มันมีของล่อให้เราออกนอกลู่นอกทางไปมหาศาล ความที่มันล่อมันลวงนั่นน่ะ มันล่อมันลวง อะไรมันล่อลวงล่ะ โลกธรรม ๘ สิ่งนี้มันล่อลวงให้จิตใจนี้ขวนขวาย จิตใจนี้ติดพันไปกับมัน แม้แต่ตัวเอง ตัวเองมันก็มีสิ่งเร้าอยู่ในใจของเราอยู่แล้ว แล้วออกไปสังคม สังคมยังมีสิ่งกระทบกระเทือนกัน สังคมมีการเบียดเบียนกัน สังคมมีการเอารัดเอาเปรียบกัน สังคมก็เป็นเรื่องสังคมอีก

สังคมมันเป็นเรื่องของสภาคกรรม กรรมที่เกิดร่วมกัน คนเราเกิดมาก็เกิดจากสังคมที่ดี เวลาเกิดมามันเกิดในประเทศอันสมควร พอเกิดมาแล้วๆ เกิดมาแล้วถ้าสังคมร่มเย็นเป็นสุข เราก็มีความร่มเย็นเป็นสุข เกิดมาสังคมที่มีการบีบคั้นกัน สังคมที่เอารัดเอาเปรียบกัน เราเกิดมามีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ นี่พูดถึงดอกบัวเกิดจากโคลนตมๆ สิ่งที่เป็นกระแสน้ำ สิ่งที่เป็นสัตว์น้ำสิ่งต่างๆ มันกระทบกระเทือนทั้งนั้นน่ะ

นี้ประวัติครูบาอาจารย์ของเรา ประวัติครูบาอาจารย์ของเราท่านทำอย่างไร ท่านทำไมมีอำนาจวาสนาอย่างนั้น ถ้าท่านมีอำนาจวาสนาอย่างนั้น เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การสร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนั้น ๔ อสงไขยนะ พระปัจเจกพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง เป็นพระอรหันต์ต้องสร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนั้น เพราะการสร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนั้นมุมมองมันถึงแตกต่างกัน

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ อุทกดาบส อาฬารดาบส รับประกันว่า “มีความรู้เสมออาจารย์ มีความรู้เหมือนเรา สอนได้ๆ” ถ้าเป็นอย่างพวกเรานะ ถ้าลองครูบาอาจารย์ยกย่องสรรเสริญนะ ไอ้เรานี่ลอยไปไหนแล้วก็ไม่รู้

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีสติปัญญานะ ท่านบอกว่า ความรู้สึกของท่านมันไม่ใช่ ความรู้สึกในใจของท่านมันยังสงสัยอยู่ ความรู้สึกในใจของเรา เห็นไหม ท่านถึงไม่เชื่อ กรณีอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา ท่านได้สะสมบุญญาธิการมา มันจะเกิดมุมมองอย่างนี้ มันจะเกิดกำลังอย่างนี้ มันจะเกิดสิ่งที่เราไม่หลงใหลไปกับสังคมไง สังคมจะชักนำขนาดไหน สังคมจะเยินยอขนาดไหน มันก็ไม่ไปกับเขาๆ ถ้าไม่ไปกับเขามันก็เป็นชนกลุ่มน้อย ถ้าเป็นชนกลุ่มน้อย ชนกลุ่มน้อยถ้าเรามีสติปัญญา เรามีปัญญาของเรา เราก็ยืนของเราได้

ชนกลุ่มน้อย เราเป็นคนไง ขนโคกับเขาโค คนโง่หรือคนฉลาดมากในโลกนี้ คนโง่มากกว่าคนฉลาด แล้วคนฉลาดมีหยิบมือหนึ่ง ไอ้คนโง่มีเท่าไร ก็เท่านั้นน่ะ แล้วเราจะเป็นใครล่ะ ถ้าเราจะเป็นชนกลุ่มน้อยก็พอใจ ถ้าพอใจ ถ้ามันเป็นสัจธรรม ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงนะ ถ้าเป็นสัจจะความจริง ถ้าเราพิสูจน์ได้ๆ เราพิสูจน์ได้ด้วยตัวของเรานี่แหละ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน เห็นไหม ให้เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกต่อเมื่อเธอประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยสัจจะความจริงอันนั้น ถ้าเป็นสัจจะความจริงอันนั้น อันนั้นน่ะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าเห็นตถาคตขึ้นมาในหัวใจขึ้นมา มันเป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าเป็นความจริงอย่างนั้นขึ้นมา กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน ไม่ให้เชื่อๆ คำว่า ไม่ให้เชื่อ” นี้มันต้องเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วนะ แต่ถ้าเรายังไม่เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีใช่ไหม

เราเกิดมาเป็นเด็กน้อยมันก็ต้องมีพ่อมีแม่ เกิดมาแล้วต้องมีครูมีอาจารย์ ถ้าไม่มีครูมีอาจารย์ที่สั่งสอนมา เราจะเอาปัญญามาจากไหน ถ้าเราเอาปัญญา ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาทางโลก ดูสิ เวลาศึกษาปริยัติ ปริยัติมันเป็นสุตมยปัญญา สุตมยปัญญา โลกียปัญญา ปัญญาทางโลกเราก็ศึกษามา ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทาง แต่เวลาแนวทาง โลก โลกก็คือโลกไง ธรรมเหนือโลกๆ มันต้องเหนือโลกนั้น ถ้าเหนือโลกนั้น ธรรมมันจะเหนืออย่างไรล่ะ เวลาเหนืออย่างไร

ก็ทฤษฎีที่ศึกษามา ศึกษาจากครูบาอาจารย์มา ธรรมอย่างนี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงกิริยา แสดงถึงวิธีการเท่านั้นน่ะ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวิธีการทั้งหมด แล้วเราก็เอาวิธีการนี้เอามาโต้แย้งกันๆ ก็มันวิธีการ แม้แต่วิธีการยังโต้แย้งกัน แล้วผลของมันล่ะ

ผลของมัน เวลาจิตสงบแล้ว ถ้าจิตสงบ ใครจะประพฤติปฏิบัติมาแนวทางไหนก็แล้วแต่ จิตสงบก็คือจิตสงบ ถ้าจิตสงบแล้วมันก็เข้าใจได้ เพราะจิตสงบ คนเรานะ บางทีจิตสงบมันสะเทือนใจมาก สะเทือนใจมาก ธรรมสังเวช

เราเกิดมาเราก็แสวงหา เราก็พยายามค้นคว้าของเรา ค้นคว้า มันที่ไหนว่าดีก็ไปทั้งนั้นน่ะ แต่มันก็ไม่เคยเจอสักที แต่เวลาจะเจอจริงๆ ก็เจอในกลางหัวใจเรานี่เอง ถ้าเจอในกลางหัวใจเรานี่เอง มันสงบระงับเข้ามาเอง มันมีคุณค่าอย่างนี้ มีคุณค่าอย่างนี้

ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีขายในท้องตลาด สมาธิไม่มีขายหรอก แล้วสมาธิที่มันจะเกิดขึ้นมาได้มันก็เกิดจากการขวนขวายของผู้ผู้นั้น เกิดจากดวงใจดวงนั้น ถ้าดวงใจดวงนั้นมีสติมีปัญญาขึ้นมา มันเริ่มสงบระงับ เริ่มระงับจากโลกเข้ามา เริ่มปล่อยวางเข้ามา

วิธีการปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามาโดยกิเลส กิเลสมันบอกว่าเสียเปรียบ เราต้องเสมอเขา เราต้องดีกว่าเขา

ถ้าดีกว่าเขา มันก็คะคานกันทั้งนั้นน่ะ การกระทำอย่างนั้นมันเป็นจริตนิสัยใช่ไหม แต่ถ้าเราทำแล้ว ความจริงเรารู้อยู่ในใจของเราใช่ไหม ถ้าเรารู้อยู่ในใจของเรา เราต้องพูดให้ใครฟังล่ะ

ถ้ามันมีการขัดแย้ง เห็นไหม เวลาวินัย วินัยมันต้องเด็ดขาด แต่เวลาธรรม ธรรมมันเหนือกว่าไง ธรรมและวินัยๆ วินัยมันก็นิติศาสตร์ เวลาธรรมมันก็รัฐศาสตร์ แล้วรัฐศาสตร์ การปกครองนี้ แล้วเราต้องพูดออกไปทำไม ถ้าเราไม่พูดออกไป ถ้ามันสงบขึ้นมามันก็สงบในใจของเราใช่ไหม ถ้าสิ่งที่มันกระทบกระเทือนไป เราก็หลบหลีกของเราไป หลบหลีกของเราไป มันเป็นความจริงอันนี้ไง ถ้าเป็นความจริงอันนี้ขึ้นมา ถ้ามันพิจารณาต่อเนื่องไปๆ มันจะเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม

ดอกบัวเกิดจากโคลนตม มันก็หัวใจดวงนี้แหละ เวลาเกิดมา อวิชชาปิดหูปิดตามันมา ปิดตามา ขวนขวาย พยายามขวนขวายกัน พยายามจะเอาตัวรอดกัน แต่ไม่รอด แต่นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านรอด ให้ธรรมเป็นทานๆ สิ่งนี้เอาไปศึกษา เอาไปค้นคว้า ค้นคว้า มันเป็นข้อเท็จจริงไง มันเป็นข้อเท็จจริงที่ไปค้นคว้ามา ไปศึกษามา เพราะข้อเท็จจริง เวลาถ้าเราเป็นโลกเรามองข้ามหมดนะ

อย่างเช่นประวัติหลวงปู่ชา เวลามีคนจะไปเขียนประวัติท่าน เวลาท่านพิจารณาถึงกามราคะนะ ท่านบอกว่า เวลาเดินจงกรม องคชาตมันจะเสียดสีกับผ้าสบง ลูกศิษย์บอกว่า ไอ้ตรงนี้ตัดทิ้งได้ไหม ไอ้ตรงนี้ขอตัดทิ้งได้ไหม นี่โลก เวลาโลกบอกตรงนี้ขอให้ตัดทิ้ง

หลวงปู่ชาท่านบอกว่า ถ้าจะตัดทิ้ง ประวัติไม่ต้องเขียน เพราะนี่ไง ถ้าดอกบัวเกิดจากโคลนตม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม กามราคะ เราจะพ้นจากมันน่ะ ถ้าไม่ไปเผชิญหน้ามัน ไม่เป็นความจริง มันจะเป็นอย่างไร

แล้วถ้าเป็นความจริงๆ ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติมาเป็นความจริงของท่าน ถ้าความจริงของท่าน เวลาเราจะพูดถึงธรรมะ ยอดธรรม ก็พูดกันไม่ได้อีก มันเสียมารยาท พอมันเสียมารยาทขึ้นมา เราก็ต้องพูดกันเหนียมๆ อายๆ พูดกันไปอย่างนั้นน่ะ พูดไปมันก็ไม่จริงไม่จังทั้งนั้นน่ะ มันก็เลยกลายเป็นลูบๆ คลำๆ นี่ไง โลก มารยาทสังคมๆ ไง

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรมๆ นะ เวลาถ้าเป็นสังคม สังคมที่ท่านเริ่มเข้ามาฟังธรรม ท่านก็พูดด้วยมารยาทสังคมนั่นแหละ พูดให้ดีงามนั่นแหละ แต่เวลามันเป็นจริงเป็นจังมันเป็นอย่างนั้นน่ะ มันข้อเท็จจริง มันข้อเท็จจริงที่เราจะต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับมัน

ถ้าเราไม่เห็นกิเลส เราจะสู้กิเลสได้อย่างไร ถ้าเราไม่เห็นกิเลส เราจะชนะกิเลสได้อย่างไร ถ้าเราไม่เห็นกิเลส เราจะพิจารณากิเลสได้อย่างไร มันก็ต้องเข้าไปรู้ไปเห็นนั่นแหละ แต่เวลาไปรู้ไปเห็นขึ้นมาก็เห็นตามข้อเท็จจริงนั้น ถ้าตามข้อเท็จจริงนั้น นี่ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมามันเป็นความจริงอย่างนั้นๆ ถ้าความจริงอย่างนั้น สาธุ

เราก็ศึกษาไว้ เราไม่ต้องเป็นอย่างนั้นหรอก ขอให้เราทำความสงบของใจเข้ามาให้จิตใจมันสงบระงับเข้ามา แต่ถ้าเวลาเราใช้สติปัญญาพิจารณาขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันจะต้องไปเจออย่างนั้น มันต้องไปเจออย่างนั้นเพราะมันจะข้ามภพข้ามชาติ มันต้องข้ามกามราคะ มันต้องไปข้ามจิตของตนเอง ถ้ามันยังไม่ถึงตรงนั้น เรายังไม่ต้องไปพิจารณาตรงนั้น มันยังไม่เกิดหรอก

แต่เวลาครูบาอาจารย์ ในประวัติของครูบาอาจารย์เรา ถ้ามันเป็นจริง มันต้องเป็นจริงอย่างนั้นไง ถ้าเป็นจริงอย่างนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ท่านจะไปรู้จริงของท่าน ถ้าท่านไปรู้จริงของท่าน นี่ไง คำว่า เหนือโลกๆ” ดอกบัวเกิดจากโคลนตม

ดอกบัวเกิดจากโคลนตม มันสาธุนะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นข้อเท็จจริงอันนั้น แล้วถ้าเป็นข้อเท็จจริงอันนั้น ถ้ามันเป็นทางโลกทำ มันก็ไม่กล้าทำอย่างที่ว่านี่แหละ อันนี้ขอตัดออกได้ไหม มันเสียมารยาท โอ้โฮ! อาจารย์ของเรามีชื่อเสียงทั่วฟ้าทั่วแผ่นดิน มาหมกมุ่นกับเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไร

มันไม่ใช่หมกมุ่นกับเรื่องอย่างนี้ มันเป็นการจะถอดถอนมัน มันจะเป็นการชำระล้างมัน ถ้ามันจะชำระล้างมัน มันต้องเข้าไปเผชิญหน้ากับมัน ถ้าเผชิญหน้าตามความเป็นจริง แล้วถ้าจะเผชิญหน้าตรงนั้นได้มันต้องมหาสติ มหาปัญญา มันไม่ใช่สติปัญญาอย่างพวกเราหรอก

สติปัญญาตั้งแต่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล นี่คือสติปัญญาตามความเป็นมนุษย์ของเราขึ้นมา แต่ถ้าเลยขั้นนี้ไปแล้วมันต้องเป็นมหาสติ มหาปัญญา มันถึงจะเข้าไปรื้อค้นกันได้ แล้วมันจะไปเกิดปัญญาอัตโนมัติ เป็นปัญญาญาณเลยล่ะ ปัญญาที่ละเอียดเลย ไม่ใช่ความคิดเลย อันนั้นจะเข้าไปเป็นอีกเป็นชั้นเป็นตอนหนึ่ง อันนี้พูดไว้ว่า ถ้ามันเป็นธรรมเหนือโลกๆ แล้วถ้ามันเป็นความจริงอย่างนี้

หลวงตาท่านพูดว่า “ไม่รู้ถามไม่ได้ ไม่รู้ก็ตอบไม่ได้”

คนถามปัญหามันยังถามผิดถามถูกเลย มันยังตั้งปัญหาไม่เป็นเลย มันยังพูดถึงความสงสัย พูดถึงความไม่เห็นของมันไม่ถูกเลย

ถ้าคนเป็นจริงๆ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เวลาท่านถามคนเป็นจริงนะ ท่านจี้เข้าไปที่ใจดำนั้นเลย ท่านจี้เข้าไปที่กิเลสเลย ถามขึ้นมา เราสะดุ้งเฮือกเลย แล้วสะดุ้งแล้วงงด้วยนะ ถามอะไรเนี่ย ไม่มีมารยาท

เขาถาม เขารื้อกิเลสเอ็งไง เขาถามหากิเลสเอ็งไง ให้รู้จักกิเลสไง นี่ถ้าไม่รู้ก็ถามไม่ได้ ไม่รู้ก็ตอบไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะเขียนประวัติครูบาอาจารย์ มันต้องเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นข้อเท็จจริง มันถึงจะเป็นธรรมเหนือโลก ถ้าธรรมเหนือโลกๆ ให้พวกเราศึกษากัน ศึกษาเพื่อเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม เป็นประโยชน์กับเรา

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นประวัติครูบาอาจารย์ ท่านได้สะสมบุญญาธิการของท่านมา ท่านได้ประพฤติปฏิบัติของท่านมา แล้วท่านก็ได้นิพพานไปแล้ว เราแค่ไปเก็บของเก่าๆ ไปเก็บของเดิม เก็บที่มันตกมันหล่นอยู่มาเรียบเรียงขึ้นมา มาทำขึ้นมาให้มันเป็นเล่ม ทำขึ้นมาให้เป็นอนุสรณ์ ทำขึ้นมาให้เป็นคุณสมบัติของชาวพุทธเรา

ชาวพุทธนะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ในการทำบุญกุศลของเรา ได้เห็นสมณะ ได้เห็นสมณะนี่ก็เป็นบุญกุศล สมณะที่หนึ่ง สมณะที่สอง สมณะที่สาม สมณะที่สี่ นี่ครูบาอาจารย์ของเราท่านนิพพานไปแล้ว เผาแล้วอัฐิท่านเป็นพระธาตุ จบสิ้น แล้วครูบาอาจารย์ของเราก็ได้สนทนาธรรมกันมาหมดแล้ว นั่นก็เป็นสมณะ สมณะของเรา เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวในหัวใจของเรา

ฉะนั้น สิ่งที่ไปเก็บมา เก็บมาเพื่อประโยชน์ตรงนี้ไง เพื่อประโยชน์กับชาวพุทธ ชาวพุทธเราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นรัตนะ เป็นที่พึ่งอาศัย แล้วที่พึ่งอาศัยมันก็วังเวง มันก็เคว้งคว้าง ก็ไปเก็บไปรวมมา ไปเก็บไปรวมมาให้เป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้ เราศึกษาได้ เป็นข้อมูลของเรา เห็นไหม

ฉะนั้นถึงว่า เก็บรวบรวมมาทำเป็นประวัติของหลวงปู่จวน แล้วแจกเป็นทานๆ ถ้าพูดถึงคุณค่า คุณค่ามันเหนือโลก ถ้าคุณค่าทางโลก เรื่องเป็นราคา อันนั้นเรื่องของโลกเขา ไม่ทำแบบนั้น

เราทำเพื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำเพื่อศาสนานี้ ใครจะรู้ใครจะเห็น ใครจะไม่เข้าใจ เรื่องของเขา เรื่องของเขา สักวันหนึ่งถ้าเขารู้เขาเห็นของเขา เขาเข้าใจของเขา เขาจะขวนขวายของเขา เขาจะเป็นประโยชน์กับเขา เอวัง